Guy Savoy (กี ซาวัว) ร้านระดับ 3 ดาวมิชลิน ก่อนหน้านี้จองมา 2-3 รอบไม่สำเร็จ เพิ่งจะได้ก็เที่ยวนี้ เพราะตระะหนักว่าต้องจองล่วงหน้าเหมือนคนอื่น โดยประมาณน่าจะประมาณหนึ่งเดือน ซึ่งนับว่าไม่มาก บางแห่งต้องจองล่วงหน้ากันเป็นหลายเดือน
ที่อยากเล่าก็คือ เมื่อ 2-3 ปีก่อน ไปงานท่ีฝรั่งเศส นั่งโต๊ะร่วมกับ food critic ท่านหนึ่ง ดูท่าทางรอบรู้มาก เธอแนะนำร้านอาหารดี ๆ น่าไปชิม ที่ปารีสหลายร้าน แต่พอถามถึง 3 ดาวมิชลิน กลับไม่ค่อยอยากตอบ เมื่อรุกหนักเข้า เธอบอกว่าไม่ใช่สไตล์มิชลิน แต่ก็ยอมให้ชื่อมา 2 ร้าน ซึ่งหนึ่งในสองก็คือ กี ซาวัว ปารีส (Guy Savoy Paris) โดยเชฟ Guy Savoy คนนี้นี่แหละ เสียดายนิดหนึ่งจำไม่ได้ว่าเธอให้เหตุผลว่าอย่างไร
มื้อนี้ชักชวนไปกินกันกับเพื่อนชาวฮ่องกง เป็น food writer และ “French” blogger ใช้คำว่า “French” เพราะเธอเลิฟทุกอย่างที่เป็นฝรั่งเศส รู้จักกันก็เพราะไปเจอกันในงานไวน์ที่เบอร์กันดีแหล่งไวน์เลื่องชื่อของฝรั่งเศส
เข้าเรื่องอาหารกลางวันกันด้วยแชมเปญ สั่งมาจิบเป็น apéritif ผู้รู้บอกว่าความเปรี้ยวหรือ acidity ของแชมเปญจะช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี จึงมักเสริฟให้จิบก่อนอาหาร โดยปรกติร้านหรู ร้านดัง ในฝรั่งเศสมักนำเสนอแชมเปญเป็น aperitif และมักจะมี 3 ตัวให้เลือกตามความชอบ ของวันนี้ตัวอื่นจำไม่ได้ ส่วนตัวที่เลือกมาเป็นระดับ Grand Cru พะยี่ห้อ Guy Savoy คือเป็นแชมเปญที่ Guy Savoy ออร์เดอร์สั่งทำโดยเฉพาะ exclusive หากินที่ไหนไม่ได้ นอกจากที่นี่ มาถึงถิ่นแล้ว ก็ต้องแชมแปญของเขานะแหละ
ด้านอาหาร สั่งเป็นเมนูเซตลันช์ ภาพรวมจะประกอบด้วย อาหารจานแรก เมนคอร์ส และของหวาน ชิล ๆ แบบ 3 จานจบ แต่ขอโทษ ขึ้นชื่อว่าสามดาวมิชลินย่อมไม่ธรรมดา ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มีจานงอกจานเสริมเยอะแยะไปหมด มื้อนี้ใช้เวลาแค่ 3 ชั่วโมง ไม่ยาวนานมาก (วงเล็บว่า เคยกินมื้อกลางวันกว่า 5 ชั่วโมงมาแล้ว)
ขอชื่นชมความใจกว้างของร้าน แม้จะเป็นเซ็ตเมนู แต่ทุกจานเลือกได้ตามใจชอบจากเมนู a la carte อยากกินจานใดสั่งไปเลย
การเสริฟหรูหราสมราคา French gastronomy ที่มีแบบแผนเฉพาะตัว ก่อนจานแรก มีอาหารเรียกน้ำย่อยที่เรียกกันว่า อะมุสบุช (Amuse bouche) เสิร์ฟมาพร้อม ๆ กัน 2 รายการ อันนึงใส่จานมาวางตรงหน้า อีกจานเป็น paté เสิร์ฟมาในถาดให้ใช้ซ่อมจิ้ม ขนาดย่อม ๆ กินแบบคำสองคำ เป็นการเรียกน้ำย่อยและให้ชิมลางแนวทางการครัวของเชฟไปในตัว
ตามมาอีกจาน ยังคงเป็นอะมุสบุช เสิร์ฟเป็นจานที่สอง เป็นแอสปารากัสหรือหน่อไม้ฝรั่งชนิดเขียว วางมาบนครีม เสริฟแบบรมควัน เปิดฝาครอบมาควันคลุ้งกระจาย ต่อเมื่อควันจางจึงจะเห็นว่าที่อยู่ในถ้วยคือแอสปารากัส ทั้งสามจานที่ว่านี้ไม่ได้อยู่ในเมนู
จากนั้นจึงเข้าอาหารจานแรก เลือกซุปอาร์ติโชคกับเห็ดทรัฟเฟิล (Soupe d’artichaut a la truffe noire) เสริฟพร้อมขนมปังปิ้งปาดหน้าด้วยมูสเห็ดและทรัฟเฟิล ช่วงนี้อากาศยังหนาวมาก ๆ กินแล้วให้ความอบอุ่นจับใจ
เมนคอร์สเลือกเมนูไก่จากเมืองเบรส (Volaille de Bresse) เป็นไก่รสชาติเลิศล้ำเลื่องชื่อไปทั่วโลก เชฟดัง ๆ จึงเลือกใช้ เพราะเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ แค่ได้ยินชื่อเมนูก็ผ่านแล้ว ไก่พันธ์นี้ฝรั่งเศสห้ามนำออกไปเลี้ยงนอกประเทศ แต่ส่งออกได้ มีวิธีการเลี้ยงและเทคนิคการให้อาหารแบบพิเศษ คุณภาพจึงคับแก้ว
ก่อนของหวานมีเชอร์เบตล้างปาก หน้าตาจุ๋มจิ๋ม
ส่วนของหวานเลือกมิลเฟยย์ (Millefeuille) ขนมสูตรดังเดิมของฝรั่งเศส ทำเป็นชั้น ๆ แต่จานนี้ทำเป็นทรงสูง แปลกตา อร่อยล้ำกับไอศกรีมวานิลลา
ที่เลิศหรูเคียงคู่กับของหวานคือ พนักงานยังเข็นรถเต็มไปด้วยไอศกรีมและบิสคิทมาถามว่าอยากได้อะไร เพิ่มอีก แม้จะกินไม่ไหวแล้ว ยังขอสั่งไอศกรีมมาชิมเพิ่มอีก 2 รส จากนั้นจึงตามด้วย petit fours ขนมขนาดพอคำเสิร์ฟปิดท้ายพร้อมชาหรือกาแฟ
แถมท้ายนิดนึงว่า ร้านนี้ตั้งอยู่บนชั้นสองของ Monnaie de Paris หรือ โรงกษาปณ์รัฐบาลฝรั่งเศส ห้องอาหารประมาณ 50 ที่แบ่งเป็นห้องขนาดย่อมประมาณ 5 ห้อง มีประตูเปิดติดต่อกัน หากจองล่วงหน้าและ request คงไดโต๊ะติดหน้าต่าง มองออกไปเห็นวิวสวยงามของแม่น้ำ Seine