ในรอบ 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเชฟชาวเอเชียจะพุ่งหน้ามาแรงในวงการอาหารฝรั่งเศส ที่โดดเด่นมาก ๆ ก็เชฟญี่ปุ่นหลายต่อหลายคน ๆ ที่สร้างชื่อด้วยความสามารถในการสร้างสรรค์อาหารฝรั่งเศสออกมาได้อย่างน่าทึ่ง
มื้อนี้ไม่ใกล้ไม่ไกลจากญี่ปุ่น หากชวนมาทำความรู้จักกับเชฟชาวเกาหลีชื่อ ปิแอร์ ซ็อง (Pierre Sang) เพื่อนๆ หลายคนแนะนำ จนต้องตามไปลองฝีมือมาฝากกัน ร้านนี้กำลังดังแบบมาแรงแซงโค้ง food critic ฝรั่งเศสเชียร์ ตัวเชฟเองได้รับเสียงชื่นชม ด้วยฝีมือปรุงอาหารฝรั่งเศสดังติดอันดับต้น ๆ ของกรุงปารีสทีเดียว
ปิแอร์ ซ็อง (Pierre Sang) เป็นเชฟและเจ้าของร้านอาหาร 2 ร้านที่อยู่เกือบจะติด ๆ กัน ห่างกันออกไปแค่ไม่กี่ก้าว บางคนอาจงง ๆ อยากไปกินแต่ไม่รู้จะไปร้านไหน เลือกกันตามใจชอบ ร้านแรกอยู่บนถนน Oberkampf (โอแบร์คอมพ์ฟ) อาหารจะเป็นแนวสบาย ๆ สไตล์บาร์คอนเซ็บต์ ส่วนร้านที่สอง บนถนน Gambey (กอมเบ่) ที่ได้ไปมามื้อนี้ เป็นอาหารฝรั่งเศสแนวหรูแบบ French gastronomy แต่งแต้มนิดนึงด้วยวัตถุดิบเอเชี่ยน เป็น cuisine ละเมียดละไมที่มีการรังสรรค์และใส่ไอเดีย
ไปถึงร้าน เดินเข้าด้านใน สุดประหลาดใจกับบรรยากาศชิลชิล ทั้งโต๊ะเค้าเตอร์บาร์ และโต๊ะระดับสูงมาพร้อม stool อย่างสบาย นึกในใจว่านี่มันร้านอาหาร หรือบาร์วัยรุ่นกันละนี่ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นวี่แววความหรูหราของห้องอาหารแบบแกสโตรโนมี่ กวาดตาดูแขกทั้งร้าน นั่ง enjoy กันอย่างสนุกสนาน เฮฮาปาร์ตี้ ไร้พิธีรีตรอง อบอุ่นแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าโดน
โต๊ะที่ทางร้านจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของเค้าเตอร์บาร์ นั่งชิดติดขอบ open kitchen เลยได้ชมทีมเชฟจัดเตรียมอาหารแบบ live show เสียดายแต่ว่าวันที่ไป เชฟ Pierre Sang (คนในรูปที่เห็นเป็นพื้นสีแดงๆ แขวนอยู่บนผนัง) บังเอิญเดินทางไปต่างประเทศ เลยอดเจอ แม้จะไม่อยู่ หากทีมผู้ช่วยเชฟทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม รวมทั้ง sommelier หญิงที่แนะนำไวน์ได้อย่างสมเป็นมือโปร
เลือกเมนูเต็มที่มีทั้งหมด 5 คอร์ส เป็นเซอร์ไพรซ์ เพราะไม่มีรายการอาหารให้ดู ไม่ต้องรู้ล่วงหน้า สุดแล้วแต่ว่าเชฟจะจัดสรรสิ่งใดมา
จานแรกเป็นแครอตปรุงสุกนิดเดียว ยังมี texture ดิบและกรอบของความเป็นผักอยู่ โรยโดยรอบด้วยเทอร์รีนฟัวกราส์นำมาขูดฝอย ให้ทั้งความหอมและรสชาติความมันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสริมด้วยความกรอบของถั่ว และรสเปรี้ยวนิดเดียวของซอสเชอร์รี่ที่เห็นเป็นสีแดง ๆ จานนี้เสริฟเป็น Amuse bouche เป็นการเรียกน้ำย่อย และเปิดทางให้กับจานต่อๆ ไปที่จะตามมา
เข้าเมนูกันด้วยจานที่สอง ตัวหลักเป็นชีสอิตาเลียนบูราต้าลักษณะเป็นเหมือนครีมนิ่ม ๆ สีขาว เสริมด้วยแตงกวา มะนาวเขียว ซอร์เบต์แตงฝรั่งซูกินี เคียงเลิศรสด้วยรสเค็ม ๆ มัน ๆ ของแฮมดีกรีเบลอตต้าชั้นดี สุดท้ายโรยด้วยมะกอกดำที่ขูดเป็นชิ้นเล็ก ๆ
ตามมาเป็น ฟิเล่ต์เนื้อปลา Lieu jaune ( หรือ Pollack) ชิ้นหนาพอควร ปรุงเนื้อสุกแค่นุ่ม ๆ ชุ่มฉ่ำตัดกับหนังอบกรอบด้านบน ที่ทำให้นึกถึงสไตล์การทอดปลาบ้านเรา เสริฟมาบนรีซอตโตผัดแบบอิตาเลียนแต่ใช้เมล็ดธัญพืชคีนัวแทนข้าว เสริมด้วยต้นหอมลีกที่ความเขียวและความสดให้รสตัดกับข้าวและปลาได้ดี จบสุดท้ายด้วยซอสโฟมรสกลาง ๆ ที่ปรุงจากมิโซในสไตล์ของเอเชีย
เวลาผ่านไปไว แป๊บเดียวมาถึงเมนคอร์สกันแล้ว จานนี้เป็นฟิเลต์หมูอีเบอร์ริโกช้ันดี ด้วยความที่เป็นเนื้อหมูจึงต้องปรุงให้สุก รสชาติดี มีความนุ่ม เคี้ยวแล้วมีความหนึบหนับ ให้รสชาติ และ texture เป็นชิ้นเป็นอันเต็มปากเต็มคำดี เคียงด้วยมะเขือม่วงเนื้อนิ่มและแผ่นมันฝรั่งทอดกรอบ เล่น texture กันนิดนึง ส่วนซอสมีสองส่วน คือซอสตะวันตกปรุงด้วยมะเดื่อฝรั่ง มัสตาร์ด และไวน์แดง กับซอสพริก “Ssamjang” ของเกาหลีที่ป้ายเป็นสีส้ม ๆ ปรุงด้วยพริก ซอสงา มิโซและหอมเล็ก ซ่อนรสเผ็ดแบบเบา ๆ ตัดกับรสเข้มข้นของเน้ือหมูได้ดี
คั่นกลางก่อนถึง dessert เป็นชีสตามแบบฉบับของฝรั่งเศส ตัวนี้ประยุกต์ ใช้ชีสกามองแบร์ที่เลื่องชื่อของฝรั่งเศสทำเป็นมูส เคียงด้วยบีทรูต และโรยหน้ากรอบด้วย sable รสกาแฟ
จบสุดท้ายด้วยของหวานที่เก็บอวลไอฤดูร้อนมาเต็ม ๆ ตรงกลางเป็นเชอร์เบทสีแดงม่วงเข้มทำจากผลแบล็คเคอเรนต์และบาซิลิก เคียงด้วยเบอร์รี่สดจากป่ารสออกเปรี้ยว ๆ ตามด้วยเจลลี่จากน้ำดอกไม้ เมอร์แรงก์กรอบ ขนมปังครูตง และถั่วบดแต้มด้วยสมุนไพร