By Atiyanee Mathayomchan / Dr Chatdanai Musigchai
ดินเนอร์ค่ำคืนนี้เจิดจรัสไปด้วยความงดงามแบบคลาสสิก โดยฝีมือ เชฟจิล ไรน์ฮาร์ดต์ (Gilles Reinhardt) ที่บินตรงมาจากเมืองลียง เพื่อรังสรรค์เมนูเอ็กซ์คลูซีฟ ให้โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ ร่วมฉลองกับปอล โบคุส (Paul Bocuse) เชฟผู้โด่งดังยิ่งกว่าระดับตำนาน ในโอกาสที่ห้องอาหารของเขา L’Auberge du Pont de Collonges (โลแบช ดู ปงต์ เดอ โคลลงช์) ในฝรั่งเศส ไดัรับรางวัลสามดาวมิชลินต่อเนื่องกันเป็นเวลานานถึง 50 ปี เรียกได้ว่าเป็นเชฟยิ่งใหญ่เพียงคนเดียวที่ครองรางวัลนี้ได้ยาวนานที่สุด
จิล ไรน์ฮาร์ดต์ เป็นมาสเตอร์เชฟประจำห้องอาหารของ ปอล โบคุส ชนะการแข่งขัน “2004 Meilleurs Ouvriers de France” หรือที่มักเรียกกันโดยย่อว่า MOF (มอฟ) อันเป็นรางวัลทรงเกียรติและสุดยอดปรารถนา ที่เชฟสุดยอดฝีมือเท่าน้ันที่จะคว้ารางวัลนี้ไปครองได้ โดยเชฟ MOF จะได้รับเกียรติให้สวมยูนิฟอร์มที่ปกคอประดับอย่างโก้ด้วยแถบสีธงชาติฝรั่งเศสน้ำเงินขาวและแดง
สำหรับค่ำคืนนี้ยังเป็นโอกาสพิเศษสุด ที่จัดให้กับสมาชิก Accor Plus โดยเฉพาะ เชฟจิล ไรน์ฮาร์ดต์ สร้างสรรค์อาหารเมนูฝรั่งเศสเสริฟไล่เลียงกันออกมาทั้งสิ้น 7 คอร์ส ให้สมาชิก Accor Plus ได้ดื่มด่ำไปกับสไตล์อาหารอันเป็นแบบฉบับที่ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงมาจาก ปอล โบคุส เสริฟพร้อมไวน์แพร์ริ่งชั้นดี ที่คัดสรรมาให้เข้าคู่เพื่อความละเมียดละไมของรสชาติ ในบรรยากาศ modern chic ของห้อง Deja Vu
เข้าจานแรกกันด้วยเมนูหรู เป็นฟัวกราส์ชิ้นหนาเสริฟพร้อมโพเลนต้าและเกรปฟรุต จัดวางซ้อนกันเป็นชั้นอย่างสวยงาม โดยฐานด้านล่างวางด้วยโพเลนต้า ซึ่งลักษณะคือแป้งทำจากข้าวโพด ปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เนื้อแน่นและปรุงสุกได้ดี ชั้นต่อมาเป็นตัวเอกคือฟัวกราส์ นำไปทอด รสชาติหวานมัน นุ่มเนียน แล้วซ้อนด้านบนด้วยเนื้อเกรปฟรุตสีแดงสด ผลที่เลือกมาไร้ทั้งความฝาดและความขม แค่ให้รสออกเปรี้ยวนิดเดียวใช้ตัดกับความมันของตับทอดได้ดี ประกอบกับโพเลนต้าที่รสออกกลาง ๆ แล้ว องค์ประ กอบทั้งหมดจึงส่งฟัวกราส์ให้รสโดดเด่น ท็อปชั้นบนสุด ด้วย pomme gaufrettes (ปอม โกแฟรต) มันฝรั่งสูตรคลาสสิก นำไปขูดกับอุปกรณ์ที่เรียกว่า mandoline ให้ลักษณะออกมาเหมือนตาข่าย แล้วนำไปทอด เสริม texture ความกรอบ และรสเค็ม ๆ มัน ๆ
จัดเข้าคู่กับฟัวกราส์ จานเปิดเมนูของคืนน้ี เป็น Zardetto Prosecco สปาคกลิ้งไวน์จากอิตาลี
ตามมา เป็นซุปทรัฟเฟิล เมนูระดับตำนาน สร้างสรรค์ ขึ้นในปี 1975 เพื่อเสริฟให้กับอดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศส วาเลอรี่ จิสการ์ด เดสแตง ณ ทำเนียบประธานาธิบดีเอลิเซ่ จานนี้เป็นทั้ง signature dish และไฮไลท์ของมื้อที่หลายคนรอคอย
ซุปเสริฟมาในถ้วยสั่งทำพิเศษ ด้านบนคลุมด้วยแป้งพัฟเพสตรี้ อบฟูเต็มจาน สีเหลืองทองปนน้ำตาล ยั่วยวนชวนเชิญให้รับประทานจริง ๆ เวลาทานให้ใช้ช้อนเจาะแป้งลงไปเพื่อตักซุปขึ้นมา โดยตัวซุปเป็น consomme หรือซุปใสรสเข้มข้น ด้านในใส่แครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เสริมรสให้อลังการด้วยการใช้ฟัวกราส์ ส่วนเห็ดทรัฟเฟิลชั้นดีอันเป็นที่มาของชื่อจาน หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ โดนใจเป็นที่สุด เพราะโปรยปรายใส่มากับซุปเยอะมากแบบว่าไม่มียั้ง น้ำสต๊อกที่โดยตัวเองรสชาติดีอยู่แล้ว เมื่อผสานกับทั้งฟัวกราส์และทรัฟเฟิล จึงปรนเปรอรสชาติและความหอมให้ซุปนี้เป็นที่เลื่องลือ
ไวน์เคียงคู่กับซุปน้ี จัดให้เป็นไวน์ขาว Chardonnay 2013 Robertson Winery จาก South Africa
ถัดมาเป็น ปลาแซลมอนเสริฟพร้อมครีมสแกนดิเนเวีย แซลมอนชิ้นหนาปรุงสุกได้เยี่ยม ตักเข้าปากแล้วลิ้มรสได้ทั้งความชุ่มฉ่ำ และชัดเจนในความ oily อันเป็นแคแร็คเตอร์ของเนื้อปลาชนิดนี้ เคียงด้วยซอสครีมสแกนดิเนเวีย โรยประปรายด้วย cilboulette หรือ chive ต้นหอมขนาดเล็กที่กลิ่นไม่ถึงกับฉุน ตามแบบฉบับของอาหารสแกนดิเนเวีย รสชาติให้ทั้งความเค็ม ซ่อนด้วยรสเปรี้ยว เสริฟพร้อมก้อนแป้งกลม ๆ ที่เรียกว่า Blinis แล้วท็อปด้วยไข่ปลาคาเวียร์ เซวูกร้า ที่ความเค็ม เสริมรส savoury ให้กับแซลมอนได้อย่างชื่นมื่น
ปลาแซลมอนเลิศรสจานนี้ ให้จิบกับไวน์ขาวรสชาติสดใส เป็นสายพันธ์ชาร์ดอนเน่อีกหนึ่งตัว คือ Fox Creek Shadow’s Run Chardonnay 2011 จากออสเตรเลีย
ก่อนจะไปต่อ คั่นตอนล้างปากกันสักนิดด้วย กรานิเต้ โบโจเล่ ลักษณะทำเป็นเหมือนน้ำแข็งใสบ้านเรา ปรุงรสด้วยไวน์ Beaujolais รสชาติเข้มและชัดเจนด้วยไวน์จากฝรั่งเศสชนิดนี้
มาถึงเมนคอร์ส เป็นเวอลูเต้กุ้งลอบสเตอร์กับแอสพารากัส ลักษณะซุปมีความเป็นครีมมี่เนื้อนุ่มเนียนตามแบบฉบับของคำว่าเวอลูเต้ ที่มีความหมายถึงกำมะหยี่ เนื้อลอบสเตอร์ปรุงสุกได้พอดี รสจัดจ้าน มีทั้งความเหนียวและความละมุนที่อร่อยมาก ที่น่าสนใจเช่นกัน คือ แอสพารากัสเขียว สายพันธ์พิเศษ หัวโต ก้านเล็กนิดเดียว หอมกรอบ ตามด้วยปูเร่เซเลอรี่แต้มรสขิงที่วางมาข้าง ๆ ลอบสเตอร์ รสชาติโดยรวมดีมาก จานนี้ให้จิบพร้อมไวน์ขาวฝรั่งเศส Pouilly Fuisse ของ Verget ปี 2006 จากแคว้นเบอร์กันดี
คั่นตอนกันอีกครั้งด้วย pre dessert ที่ให้ชื่อว่า Nage de Fruits Rouges คำว่า nage (นาช) แปลว่าลอยล่อง มีความหมายถึงผลไม้ที่หรือขนมที่ลอยตัวอยู่ในน้ำ ซึ่งจานนี้ใช้ผลเบอร์รี่หลายอย่างใส่ในน้ำหวานไซรัป รสสดชื่น เปรี้ยวนิดเดียว ไม่หวานจัด ด้านบนมีการใช้ไข่ขาวตีขึ้นฟูปรุงรสด้วยมิ้นต์ สีจึงอมเขียวและกลิ่นมิ้นต์ชัดเจน
จับคู่ชู้ชื่น เป็นไวน์ late harvest ออกหวานหน่อย ๆ Zind Humbrecht Pinot Gris 2004 Clos Windsbuhl จากแคว้นอาลซัส ฝรั่งเศส
สุดท้าย เป็น ลูกพีชซาบายอง “ในแบบที่ฉันชอบ” ประกอบด้วยลูกพีช เชอร์เบทลูกพีช ไอศกรีมเขียวทำจากพิสตาชิโอ ตัวซาบายองหอมหวานตีจากแชมเปญ แล้วโรยด้วยอัลมอนด์ ที่เสริมทั้งความมันและกรอบ ก่อนจะทาน ราดสุดท้ายด้วยซอสช็อกโกแลตร้อน ให้ความเข้มข้น ที่ปิดฉากมื้อน้ีได้อย่างสวยงาม
Established in Australia in 1994, Accor Plus has been designed to attract and engender the loyalty of frequent travellers and diners for Accor hotels, resorts and apartments in Asia Pacific by providing members with cost savings and exclusive benefits.
Over the past 21 years the program has evolved into Asia Pacific’s most expansive travel, dining and lifestyle program in 17 countries. Members enjoy a range of exclusive benefits, including: savings on accommo- dation and dining, and access to exclusive member events and partner benefits. Members have access to over 600 Accor hotels across Asia Pacific, ranging from luxury to economy brands. Visit www.accorplus.com for more information.